เมื่อความอยากเดินทางมันตุ่ยๆ อยู่ในช่องท้อง เราจึงไม่ปล่อยให้ความอยากทิ้งช่วงนานจนเกินไป เพราะเมื่อล่วงเวลามา เราอาจจะไม่อยากทำสิ่งนั้นแล้ว เป็นมั้ยที่ต้องรอรวมตัว รวมกลุ่ม รวมแก๊งค์ กว่าจะพร้อมสุดท้าย “เหลือกูคนเดียว..ซะงั้น!”
ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งที่สามารถไปลุยกับผมได้ทุกที่ ถ้าเขาไม่ติดธุระหรือเจ็บป่วยอะไรนะ นั่นคือเพื่อนคนเดียวกับที่ร่วมเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์รอบประเทศไทยกับผมกว่า 8000 กิโลเมตร >> Mr. กั๊ก
ประเทศพม่าเป็นอีกหนึ่งที่ที่เรายังไม่เคยไปเยี่ยมเยียน จึงชิมรางจากเขตปกครองอิสระอย่างรัฐกระเหรี่ยง DKBA จ.เมียวดี ประเทศพม่า ซึ่งอยู่ติดกับชายแดนตะวันตกบ้านเรา(อ.พบพระ จ.ตาก) ถือเป็นเขตแดนประเทศพม่าตามแผนที่ แต่เราไม่ต้องใช้เอกสารหรือวีซ่าอะไรให้วุ่นวาย เตรียมแค่ใจ และร่างกายก็ออกลุยได้เลย!!
เนื่องจากเราคลำหาทางไปกันเอง กรอปกับไม่มีวีซ่า และไกด์นำทาง จึงต้องระวังเรื่องออกนอกเส้นทาง เพราะถ้าเราออกนอกเขตพื้นที่ปกครองอิสระ ก็จะซวยนั่นเอง! ทางที่ดีควรถามบ่อยๆ ถ้าไม่แน่ใจ (คนส่วนใหญ่เข้าใจภาษาไทย) เพราะเมื่อไม่นานมานี้มีคนไทยที่ทะเล่อทะล่าออกนอกเส้นทางถูกทหารพม่าจับตัวไปกุมขัง และนั่นคืออีกหนึ่งความเสี่ยงสำหรับหน้าใหม่อย่างเรา ตื่นเต้น!
เมื่อเรามีปลายทางเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่าง ‘มุลาอิ‘ หรือ ‘ขุนเขาแห่งศรัทธา‘ การเดินทางครั้งนี้จึงคล้ายเป็นการไปแสวงบุญ ไม่สิ! เรียกว่าไปแสวงความสงบในจิตใจจะดีกว่า แต่ไปด้วยวิธีการโผในระยะร้อยเมตร ปฏิบัติ! ไม่ใช่ละ..เราไปด้วยวิธีขี่มอเตอร์ไซค์
เราออกลุยกันสองคนช่วง ต้นเดือนเมษายน พ.ศ.2562 ด้วยการซ้อนท้ายกันไปจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่ อ.แม่สอด จ.ตาก ด้วยรถมอเตอร์ไซค์สกูตเตอร์ Scomadi เครื่อง 200 ซีซี ถือว่าเป็นสกูตเตอร์ที่ทำความเร็วบนทางหลวงได้ดีทีเดียวกับนำ้หนักของสัมภาระและคนซ้อน ความร้อนแรงของแดดเดือนเมษายนนั้นช่างโหดร้ายเสียนี่กระไร ตลอดสองข้างทางมีการเผ่าป่าเป็นระยะ ต้นไม้น้อยลงเรื่อยๆ หมดแล้วซึ่งความเขียวชอุ่ม
…
ความสงสัยเป็นสิ่งที่ควรพกติดตัวไว้บ้าง เพราะมันอาจเพิ่มความสนุกในการเดินทาง
…
เราไม่สามารถใช้ด่านทั่วไปที่รถปิ๊กอัพใช้ผ่านข้ามแดนไปได้ เพราะแม่น้ำที่ขวางกั้นระหว่างประเทศนั้นลึก จึงต้องเสาะแสวงหาทางสำหรับมอเตอร์ไซค์สกูตเตอร์อย่างเรา และ บ.แม่ออกฮู ต.วาเลย์ อ.พบพระ จ.ตาก คือสะพานไม้ที่เราเห็นสำหรับข้ามแดน อย่างชิว..
“มุลาอิ” เพียงแค่ออกเสียงตามนี้ ทุกคนพร้อมจะชี้นิ้วไปทางเดียวกัน เมื่อข้ามแดนมาจะเป็นทางหมู่บ้านเล็กๆถนนลูกรัง ทางแยก(ควรถามเดี๋ยวหลง) ด่านตรวจ ก็ผ่านไปได้โดยไม่มีการตรวจ หลังจากผ่านถนนลาดคอนกรีตมาได้ซักพัก ทีนี้แหละ เตรียมหน้าสั่นกันได้เลย ไม่มีหรอกที่โรยด้วยกลีบกุหลาบหนะ
เมื่อถนนพัง อิฐก้อนโตๆ อยู่ด้านล่างก็จะโผล่และนี้เป็นตัวการทำให้การขับขี่ต้องระมัดระวังถ้ารถคุณไม่ใช่รถวิบาก หรือโฟร์วิล ถ้าใครขับมาถึงสะพานไม้นี้ แปลว่าหลงทาง คือเลยทางขึ้นเขามุลาอิมาแล้ว ปากทางขึ้นจะมีซุ้มประตูแยกขวา
เราไม่ได้ไปช่วงเสาร์-อาทิตย์ รถโฟร์วิลที่วิ่งสวนไปมาจึงน้อย แต่ก็เถอะฝุ่นแม่งก็เยอะอยู่ดี เตรียมผ้าปิดจมูกไปให้ดีเลยนะ และรถโฟร์วิลที่นี่ก็เหมือนนักแข่งปารีส-ดาร์ก้า พวกซัดไม่ยั้ง..บอกเลย
เมื่อเห็นแอ่งน้ำนี้แปลว่ามาถูกทาง ว่าแต่น้ำลึกมั้ยเนี่ย..กั๊กลงไปวัดระดับความลึกก่อน
เส้นทางต่อจากนี้ใกล้ละครับ..ไม่ใช่ใกล้วัดมุลาอินะ ใกล้ถึงตีนดอยที่มีร้านรวงและรถโฟร์วิลรับจ้างจอดเรียงราย ตรงนั้นจะเป็นจุดสุดท้ายที่เราจะกินเนื้อสัตว์ได้ และห้านน้ำอาหารที่ไม่ใช่เจขึ้นไปกินข้างบน
ก่อนขึ้นเขาอย่างเป็นทางการเราก็ต้องกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของที่นี้ ซึ่งจะเป็นศาลนายพรานผู้คนพบพระธาตุมุลาอิแห่งนี้ ตลอดเส้นทางค่อนข้างชันและฝุ่นเยอะ บางจุดต้องดูไลน์ทางดีๆ ไม่งั้นอาจจะมีแพลดด จึงไม่เหมาะกับหน้าฝนเป็นอย่างยิ่ง อันตราย แต่ถ้าเป็นมอไซค์วิบากก็คงจะมันส์
“ถึงไหนแล้ววะ” .. “ไม่รู้วะ..ไปเรื่อยๆ”
เรามาถึงจุดพักรถ(ทีโพมู)ก็ 6 โมงเย็นแล้ว เท่ากับว่าใช้เวลา 2 ชั่วโมงจากตีนดอย ล้างหน้าล้างตา รีแลคซ์ ประทินผิวด้วยไม้ทานาคา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของคนที่นี่ เมื่อผ่อนคลายกันบ้างแล้วค่อยลุยกันต่อ
ดวงตะวันลาลับไหวเหลือเกิน บรรยากาศเริ่มวังวน วนเวียนจนวังเวง แสงไฟริบๆ ข้างบนคงเป็นจุดหมายของเรา ว่าแต่ทำไมมันไกลจังวะ เส้นทางตอนนี้เหมือนมีเพียงเราสอง ไม่มีรถขึ้นมาแล้ว ความระมัดระวังเพิ่มเป็นสามเท่า แต่บางเนินก็ต้องส่งเหมือนกัน ไม่งั้นขึ้นไม่ไหว
นับจากจุดพักรถล้างหน้าแปรงฟันอีก 2 ชม.เราก็มาถึงจุดหมายปลายทาง 2 ทุ่ม เท่ากับว่าใช้เวลา 4 ชม. จากตีนดอย อากาศข้างบนเย็นสบาย เหงื่อตามข้อพับเหือดหายไปหมด ผู้คนคึกคัก มีร้านรวงมากมาย
อาหารที่นี่เป็นอาหารเจ และกินฟรี 24ชม. ในโรงทาน ชาวบ้านที่ขึ้นมาที่นี่ถือว่าได้บุญเมื่อช่วยกันทำอาหารเลี้ยงเพื่อนพ้องและมิตรสหาย เกี๊ยวซ่าเหมือนจะเข้าทีที่สุดละ เราต้องไปยืนรอ ไม่งั้นหมด ข้างในเป็นพืชผักนานาชนิด เราก็ไม่รู้ว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง ใครที่เป็นคนกินยากควรพกอาหารเจของตัวเองมา
ไปครับ..ไปหาจุดกางเต็นท์กัน แต่ก่อนออกเดินต้องกราบขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทางที่ปกปักรักษาสถานที่แห่งนี้เสียก่อน พ่อปู่ศิลา หรือ พือเล่อบา เราจอดรถไว้บริเวณนั้น
เราออกเดินกันก็เกือบจะ 4 ทุ่มแล้ว ปลายทางยังไม่สุด ต้องไปให้สุด! ที่จริงไม่ควรเดินป่าตอนกลางคืน เราควรมาถึงข้างบนให้เร็วกว่านี้
อาหารพร้อมในโรงทาน พี่ๆ ที่พูดไทยได้มักเรียกเราให้มาทานข้าวด้วยกัน บรรยากาศเป็นกันเอง ทุกคนมีจิตอาสาด้วยกันทั้งนั้น แต่กินเสร็จแล้วต้องเอาไปล้างด้วยนะ
เมื่อท้องอิ่มเตรียมเดินขึ้นไปไหว้พระธาตุมุลาอิด้านบน ทุกคนต้องถอดรองเท้าไว้ข้างล่าง และเดินเท้าเปล่าขึ้นไปข้างบน เท้าที่เปลือยเปล่ากับคอนกรีตอาบแดดมาตั้งแต่เช้า สบาย!ชั้นแรกสำหรับผู้หญิง ผู้หญิงสามารถขึ้นได้ถึงแค่ชั้นนี้ เราถามเขาว่าทำไมต้องแยกหญิงชาย ทำไมหญิงต้องต่ำกว่าชาย เขาบอกตามความเชื่อว่าผู้ชายนั้นมีบารมีสูงกว่าผู้หญิงสถานที่นี้จึงแยกหญิงชายอย่างชัดเจน
เสียงสวดมนต์ วัฒนธรรม ผู้คน วิถีชีวิต บรรยากาศโดยรวมทำให้เราต้องสำรวมกายวาจาใจผ่อนคลายไปตามสายลมเคารพสถานที่ และสิ่งเหล่านี้จึงทำให้เราเกิดความสงบได้ อารมณ์คล้ายเขาคิชฌกูฏ บ้านเรา
ภาระกิจลุล่วงไปด้วยดี เดินทางกลับบ้านได้แล้ว
ขาลงก็เป็นอีกช่วงที่ต้องระวังเราใช้เบรคกันมากไปหน่อยทำให้ผ้าเบรคร้อนจนหยุดการทำงานไปชั่วขณะอันตราย! ขาลงต้องพักรถเยอะๆเลยทีแรกนึกว่าเบรคแตกแต่พี่เจ้าถิ่นผ่านมาพอดีบอกไม่เป็นอะไรหรอกฉีดน้ำใส่ดิสเบรคเดี๋ยวก็ใช้งานได้ปกติโล่งอกไปที
ระหว่างทางเราได้เจอชาวกะเหรี่ยงสองคนยืนขวางทางอยู่ จึงเข้าไปทักทายเป็นภาษาไทย เขาได้ส่ายหน้าแสดงออกถึงความไม่เข้าใจ เราก็พูดอีกว่า ไม่เข้าใจที่เราพูดหรือไง ทั้งคู่ยังคงส่ายหน้า เราเลยจากไปเพราะไม่รู้ว่าที่ส่ายหน้าคือ ไม่เข้าใจ เป็นใบ้ หรือว่าคาบบุหรี่อยู่กันแน่ ลาก่อนนะ!
อีกแล้ววว..ลงมาถึงข้างล่างก็เย็นแล้ว ขากลับเลยต้องเดินทางกลางคืน ไม่มีคนให้ถามทาง อาศัยคลับคล้ายคลับคลาเอา และดึงความจำจากภาพในมือถือ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่พวกโฟร์วิลวิ่งรถเปล่ากลับบ้าน แม่เจ้าาา..พวกซัดกันเต็มข้อ ฝุ่นตลบ หนีไม่พ้นด้วย มาเรื่อยๆเห้ย..เจอสะพานไม้แล้ว เย้ๆ..ได้ขี่ข้ามกลับเข้าประเทศไทยละ สบายใจละ เราก็ขี่เข้าแม่สอดและพักที่นั่นหนึ่งคืนก่อนขี่กลับกรุงเทพฯในเช้ารุ่งขึ้น